aaaaaaaaaa

ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีประวัติมายาวนานหลายพันปี  เป็นที่ชื่นชอบ และนิยมบริโภคของคนทั่วโลก มีตำนานเล่าขานถึงต้นกำเนิดของชาหลายแหล่ง บ้างก็ว่าถูกค้นพบโดยจักรพรรดิเสินหนิงของจีน (Shen Nung) พระองค์ทรงค้นพบวิธีชงชาโดยบังเอิญ ในขณะที่ทรงต้มน้ำดื่มใกล้ๆ กับต้นชา ช่วงเวลาที่รอคอยให้น้ำเดือด กิ่งชาได้หล่นลงในหม้อชา สักพักหนึ่งกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมา หลังจากที่ทรงดื่มน้ำต้มนั้น ก็พบว่ามันทำให้สดชื่น การดื่มชาจึงแพร่หลายมากขึ้นในเวลาต่อมา

บ้างก็กล่าวว่า ในสมัยหนึ่งที่โรคอหิวาตกโรคระบาดในเมืองจีนผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เกี้ยอุยซินแสพบว่า สาเหตุใหญ่เกิดจากการที่ผู้คนพากันดื่มน้ำสกปรก จึงแนะนำให้ชาวบ้านต้มน้ำดื่ม และเพื่อให้ชาวบ้านเชื่อ จึงเสาะหาใบไม้มาอังไฟให้หอมเพื่อใส่ลงไปในน้ำต้ม เกี้ยอุยซินแสพบว่า มีพืชชนิดหนึ่งที่ให้กลิ่นหอมมากเป็นพิเศษ มีรสฝาดเล็กน้อยและแก้อาการท้องร่วงได้ จึงเผยแพร่วิธีการนี้ให้ชาวบ้านได้ทำตาม ซึ่งพืชที่มีกลิ่นหอมก็คือต้นชานั่นเอง

 

ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่เริ่มดื่มชา จากนั้นความนิยมในการดื่มชาก็แพร่หลายไปทั่วโลกทั้งในทวีปยุโรป อเมริกา เอเชีย รวมถึงแอฟริกาด้วย

ต้นชาเมื่อเติบโตในป่าต้นชาจะสูงได้ถึง 60 ฟุต แต่เมื่อปลูกเพื่อการค้าจะถูกคงความสูงไว้เพียงแต่ 3ฟุตเท่านั้น เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว ซึ่งมักจะใช้เฉพาะยอดอ่อน คุณภาพของใบชานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ชนิดหรือพันธุ์ชาเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงสภาพดิน สภาพอากาศ และตำแหน่ง สถานที่เพาะปลูกอีกด้วย

 

ชามีสกุลย่อยแยกได้อีกกว่า 3000 ชนิด แต่ที่นิยมปลูกกันเป็นหลักมีแค่ 3 สายพันธุ์ใหญ่ ๆ คือ

  1. ชาอัสสัม (Camellia Sinensis Var. Assamica)
  2. ชาจีน (Camellia Sinensis Var. Sinensis)
  3. ชาเขมร (Camellia Sinensis Var. Indo - China)